26.8.52

All around Vientiane

พอได้รถ..การคมนาคมในเวียงจันทน์ของเราก็สะดวกขึ้น เริ่มเป็นไปตามแผน แผนตะลอนเวียงจันทน์ ได้ตะลอนจริงๆ อยากไปที่ไหนก็ไป เปิดข้อมูลที่หามาบ้าง ถามคนแถวนั้นบ้าง ถามเด็กวัยรุ่นบ้าง ไปมันให้หมด ให้สมความตั้งใจที่จะทำตัวให้กลมกลืนกับคนลาวที่สุด


พาหนะคู่ใจของเราตลอดระยะเวลาที่อยู่เวียงจันทน์




เป้าหมายแรก..ไปตลาดเซ้า เพราะต้องไปแลกเงิน แลกเงินลอตแรก 2,000 บาทไทย เพียงชั่ววินาทีเราก็กลายเป็นเศรษฐีโดยฉับพลัน เพราะแลกเป็นเงินกีบมาได้ประมาณ 500,000 กีบ รวยเละ!! จะถลุงกันยังไงดีล่ะ 555 ดีใจได้ไม่นาน เห็นแว๊บๆว่าข้าวจานนึงก็หลักพันหลักหมื่นแล้วนี่หว่า เลยต้องคิดให้รอบทุกครั้งที่ใช้เงินกีบ ถ้าพลาดอาจหมดตัวได้ แต่พอดีการเดินทางครั้งนี้วางแผนมาอย่างดีในเรื่องการจองที่พักและค่าเดินทางไป-กลับ คือ เราจ่ายส่วนนี้ไปล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว เพราะฉะนั้นเงินที่ติดตัวมานี่คือค่าใช้จ่ายประจำวันล้วนๆ ซึ่งถือว่าคล่องตัวเลยล่ะ
ขึ้นชื่อว่า "ตลาดเซ้า" แต่หาใช่ตลาดเช้าไม่ บางทีฝรั่งจะเรียกว่า Morning Market แต่เราว่าถ้าจะเรียกให้ถูก ต้องเป็น Day Market มากกว่า เพราะตลาดเช้าที่นี่ ไม่ได้เปิดแต่เช้าตรู่ แต่จะเปิดประมาณ 8-9โมงแล้ว และปิดตอนเย็น เคยมีฝรั่งคนหนึ่งเค้าเห็นชื่อว่า Morning Market เค้าก็อุดส่าห์รีบไปตั้งแต่ตี5-6โมง ปรากฏว่ายังไม่มีของมาขายเลย ตลาดเซ้าจะออกแนวๆพวกศูนย์การค้าแบบแฟชั่นมอลล์พวกนั้นมากกว่า ลักษณะการจัดร้านจะคล้ายๆแพลตตินั่มแต่เก่ากว่ามาก ของที่ขายก็จะมีพวกเครื่องเงิน-ทอง กระเป๋าก๊อปแบรนด์เนม เสื้อผ้า รองเท้า ซีดีแท้-เทียม ผ้าไหม-ผ้าทอของลาว เสื้อยืดสกรีนลาย ประมาณนี้แหละ แต่จะมีส่วนตลาดด้านนอกด้วย ลักษณะคล้ายๆคลองถมบ้านเรา มีตั้งแต่เครื่องเงินยันเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งเสื้อยืดที่ได้มาฝากพี่ๆน้องๆ ก็ได้มาจากตลาดด้านนอกนี่แหละ ถ้าเดินมาจากทางที่จอดรถมอไซค์จะอยู่ด้านซ้ายมือของทางเข้ามอลล์ มีป้าคนนึงนั่งขายอยู่ เนื้อผ้าส่วนใหญ่โอเค ลายก็โอเค รู้สึกว่าจะโอเคกว่าของที่ประตูชัยด้วย ตัวละประมาณ 50-80 บาท ตามไซส์เลย ถ้าซื้อเยอะป้าเค้าก็เฉลี่ยราคาให้ ก่อนกลับเรายังไปลาป้าเลยแล้วบอกว่าจะกลับมาหาใหม่ เค้าก็ยิ้มรับ

บรรยากาศตลาดเซ้า




ถัดจากตลาดเซ้าก็เตรียมไป "ประตูชัย" ข้อดีอีกอย่างของเวียงจันทน์คือ ถ้าจะหาสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นสัญลักษณ์เช่น ประตูชัย หรือ ธาตุดำ เนี่ย หาไม่ยาก เพราะสิ่งก่อสร้างที่ประเทศลาวจะไม่ค่อยสูงนัก ถ้าเป็นบ้านเรือนก็จะสูงแค่ 1 ชั้น 1ชั้นครึ่ง ถึง 2 ชั้นเท่านั้น แต่ถ้าเป็นพวกสถานที่ราชการ โรงแรม เกสต์เฮ้าส์ก็จะสูงกว่า ตั้งแต่ 3-8 ชั้น แต่ก็จะไม่สูงมากเท่าบ้านเรา ไม่มีตึก 20 ชั้นให้เห็นเท่าไหร่ คิดว่ารัฐบาลลาวเค้าน่าจะออกกฏหมายควบคุมไว้ด้วย

สรุปคือ พอเราจะหาประตูชัย หันซ้าย หันขวา ก็เจอแล่ะ สูงโด่เด่อยู่ลิบๆ ก็เลยไปกัน เพราะเค้าว่าถ้าไม่ได้ขึ้นประตูชัยก็ถือว่ามาไม่ถึงเวียงจันทน์ พอไปถึง ก็จัดแจงถ่ายรูปด้านหน้าประตูชัย ด้านน้ำพุตามระเบียบ ได้มาคนละรูปสองรูป ก็เตรียมขึ้นไปข้างบนต่อ ค่าขึ้นถ้าคนลาวก็ 2,000 กีบ แต่ถ้าต่างชาติก็ 3,000 กีบ คนไทยก็จัดอยู่ในพวกต่างชาติเหมือนกัน ตอนขึ้นก็แอบเหนื่อยอยู่เหมือนกัน พอขึ้นไปก็จะเจอร้านขายของที่ระลึกก่อนเลย พวกเสื้อยืดก็เยอะจริงๆอย่างที่เค้าว่า แต่พอเลือกดูจริงๆแล้ว ตัวนี้ลายสวยแต่เนื้อผ้าไม้ดี ตัวนี้ก็เนื้อผ้าดีแต่ลายไม่สวย เลยไม่ได้ซื้อเลยสักตัว บวกกับก่อนหน้านี้ไปดูร้านป้าที่ตลาดเซ้ามาแล้วรู้สึกว่าของป้าจะดีกว่า ลายไม่เยอะมากแต่จะมีลายเวิร์กๆที่เนื้อผ้าก็เวิร์กเยอะดี ตอนหลังเลยไปอุดหนุนร้านป้าหมด พอเดินขึ้นไปอีกชั้นก็จะถึงชั้นบนที่สามารถมองเห็นวิวเมืองและถนนด้านล่างได้ ตรงนี้จะมีร้านขายของที่ระลึกอีกส่วนหนึ่ง ขายพวกเครื่องประดับและของฝากชิ้นเล็กชิ้นน้อย และก็พวกภาพวาด มองๆไปเห็นบันไดให้ขึ้นไปได้อีกเลยเดินขึ้นไป ปรากฎว่าไม่มีอะไรเลยมีแต่บันไดให้ขึ้นไปอีก แล้วก็มีช่างภาพคนนึงคอยบริการถ่ายรูปให้ โดยจะให้เรายืนตรงระเบียงเล็กๆด้านนอก พอขึ้นไปอีกชั้นนึง อันนี้งงมาก..ไม่มีอะไรเลยมีแต่หน้าต่างลูกกรงเหล็ก (มั้ง ถ้าจำไม่ผิดนะ) เท่าที่อ่านประวัติมา ประตูชัยถูกสร้างด้วยซีเมนต์ที่อเมริกาทิ้งไว้ตอนแพ้สงคราม ลักษณะของประตูชัยจึงเป็นพื้นผิวของซีเมนต์เฉยๆ ไม่ได้ทาสีใดๆ (ตอนที่ไปประตูชัยเป็นช่วงวันครบรอบวันคล้ายวันเกิดของใครสักคนนี่แหละ ครบ 100 ปีพอดี) กำแพงภายในประตูชัยถูกผู้คนและนักท่องเที่ยวขีดเขียนมากมายหลากหลายชนชาติจนเลอะเทอะไปหมด ไม่รู้สถาบันไหนเป็นสถาบันไหน ไปๆมาๆทำให้นึกถึงที่ฝรั่งคนนึงเขียนแนะนำประตูชัยไว้ในเว็บว่า "Patuxai...the view with nothing to shoot" -- "ประตูชัย...วิวที่ไม่มีอะไรให้ถ่ายภาพเลย"

ประตูชัย-เวียงจันทน์


ป.ล. พ่อทุกสถาบัน



ช่างภาพรับจ้างที่นี่จะมีเครื่องปรินท์รูปอัตโนมัติ
ของ Canon พกพาอยู่ตลอด


พอลงมาด้านล่างประตูชัยก็เริ่มๆหิวมากแล้ว เพราะยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่มาถึง มองไปมองมาเห็นร้านขายอะไรสักอย่าง เป็นรถเข็นลาก บนฟุตบาทมีโต๊ะเก้าอี้อยู่ชุดหนึ่ง เลยลองแวะดู ถามเค้าว่านี่เรียกว่าอะไร เค้าบอกว่า "กะเปี๊ยก" แล้วไอ้กะเปี๊ยกเนี่ยมันอะไรล่ะ "กะเปี๊ยก กะคื้อ ก๋วยเตี๋ยว นั่นล่ะ..ถ้าฝั่งไทยเพิ่นกะเรียก ก๋วยเตี๋ยว ถ้าฝั่งพี้เฮากะเรียก กะเปี๊ยกนั่นล่า" โอเค เก๊ทล่ะ เอามา 2 ชาม ระหว่างรอก็มีคู่หนุ่มสาวชาวลาว 2 คู่มานั่งกินด้วยกัน อบอุ่นกันแน่นโต๊ะเลย กะเปี๊ยก จะคล้ายๆต้มเส้นของเวียดนาม เป็นเส้นสีขาวยาวๆ กลมๆ น้ำซุปเป็นซุปกระดูกหมู มีเนื้อหมูติดมันหน่อยๆแล่บางๆ และก็ใส่หอมเจียวด้วย ชามละ 5,000 กีบ ประมาณ 20 บาท ชิมดูปรากฏว่าอร่อยมาก ช่วงที่อยู่ที่เวียงจันทน์นี่ได้รู้เลยว่า ห้ามดูถูกร้านอาหารข้างทางเด็ดขาด ร้านอาหารแนะนำบางที่อาจจะไม่อร่อยเท่าที่ได้ยินมา แต่ร้านที่ไม่มีใครแนะนำหลายที่อร่อยกว่าที่เราคิด อย่างกะเปี๊ยกชามนี้ อาจจะเป็นเพราะเวียงจันทน์มีภูมิอากาศที่เย็นกว่าบ้านเรา เส้นกะเปี๊ยกเลยจะค่อนข้างเหนียวนุ่มและหนึบหนับสมกับที่เป็นเส้นสด น้ำซุป ลองชิมตอนยังไม่ปรุงอร่อยเข้าขั้นเลย พอปรุงแล้วยิ่งอร่อยขึ้นกลมกล่อม เครื่องปรุงจะมี พริกคั่วเปียกๆค่อนข้างเผ็ด น้ำตาล น้ำปลา พริกไทย มะนาว ตามปกติ มีชามถั่วงอกแช่น้ำไว้ให้ใส่ได้เองตามชอบ ที่แปลกคือมีผงชูรสไว้ให้ใส่เองตามใจชอบเหมือนกัน ชอบมากก็ใส่มากก็รับผิดชอบตัวเองกันไป ที่เกินคาดคือเนื้อหมูแล่บาง อร่อยมากจริงๆ แถมใส่มาให้แบบไม่ได้งกเลยด้วย สรุปมื้อแรกของทริปประทับใจมาก ขนาดที่ว่าก่อนกลับไทยยังแวะไปกะว่าจะกินอีกสักชาม 2 ชาม ไปถึงก็หมดซะแล้ว ก็เลยได้แต่ร่ำลาพร้อมกับบอกว่าจะกลับมากินอีกครั้งให้ได้ รู้สึกว่าการมาเวียงจันทน์ครั้งนี้มีสัญญาใจกับคนลาวไว้มากมายเหลือเกิน เหมือนจะเป็นสัญญาณให้รู้ตัวว่าต้องได้มีทริปสองแน่ๆ
กะเปี๊ยก แถวประตูชัย ใกล้จะหมดแล้วล่ะ

25.8.52

Moment in Vientiane..ณ ขณะ เวียงจันทน์

ถึงเวียงจันทน์แล่ะ..
หลังจากที่ได้นั่งรถกระบะจากสถานีรถไฟท่านาแล้งเพื่อเข้าตัวเมืองเวียงจันทน์ ซึ่งจะใช้เวลาประมาณไม่เกิน 30 นาทีก็จะเริ่มเห็นบรรยากาศของตัวเมือง วันแรกที่เหยียบเวียงจันทน์ก็เจอฝนตกเลย แต่แค่ตกปรอยๆพอถนนแฉะนิดๆหน่อยๆ ตอนแรกก็ตั้งใจไว้ว่าจะให้รถกระบะไปส่งที่ตลาดเช้า (ที่นู่นเรียก "ตลาดเซ้า") เพื่อจะได้แลกเงินกีบที่นั่นจากนั้นกะจะเดินไปเที่ยวแถวประตูชัย ดูเสื้อยืดสวยๆ เพราะหาข้อมูลมาว่าเสื้อยืดที่ประตูชัยจะมีเยอะ หลายแบบ หลายลาย แล้วค่อยหานั่งรถจัมโบ้ (ตุ๊กตุ๊กคันใหญ่ของลาวเค้า)เพื่อไปที่พักอีกที ระหว่างนี้ก็ตั้งใจว่าจะสอดส่องหาร้านเช่าจักรยานหรือมอเตอไซค์ไปด้วยเลย แต่หลังจากได้คุยกับพี่คนไทยที่เค้าเคยมาแล้วประกอบกับฝนตกเลยตัดสินใจให้รถกระบะไปส่งที่ที่พักเลยละกัน

เริ่มเข้าตัวเมืองเวียงจันทน์ ฝนก็ตก สังเกตุที่ป้ายรถเมล์ แหม..อ้ายคนนี้ ชิวจริงๆ
ดีดกีต้าร์พรำเสียงฝน


พอถึงที่พัก..เราเลือกพักที่โรงแรม New Lao Paris เพราะว่าอยากพักแถวโซนน้ำพุแล้วราคาก็ไม่แพงมาก ดูหน้าเว็บก็โอเค เนื่องจากตอนที่ไปเนี่ยคือช่วงต้นเดือนสิงหาคม ซึ่งไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยวสักเท่าไหร่ พอพนักงานเค้าเห็นเราเดินเข้าโรงแรมมาเค้าก็พูดชื่อเราขึ้นมาเลย สงสัยวันนี้จะมีเราเช็คอินแค่คนเดียวละมั้ง การเช็คอินเป็นไปอย่างรวดเร็วและเรียบง่าย หลังจากยื่นเอกสารการจองที่พักให้แล้ว ไม่พูดพล่ามทำเพลงเค้าก็ยื่นกุญแจให้แม่บ้านพาเราขึ้นไป ที่ที่เราไปพักเนี่ยเกรดจะอยู่ราวๆ 3 ดาว อยู่ตรงถนนสามเสนไท เป็นถนนเส้นหลักขนานกันกับถนนเสธทาทิลาศ (เขียนถูกรึปล่าวไม่รู้) ถนน 2 เส้นนี้ถือเป็นถนนเส้นหลักของตัวเมืองเวียงจันทน์ เลยจะมีร้านอาหารและผับแอนด์เรสเตอรองอยู่เยอะ แต่ส่วนใหญ่เป็นร้านแนวตะวันตกซะมาก โดยเฉพาะโซนน้ำพุ (ถ้าเป็นภาษาอังกฤษจะเขียนว่า Nampoo Fountain แปลเป็นไทยก็คือ น้ำพุ น้ำพุ) ถ้าใครอยากไปเที่ยวที่แนวๆข้าวสาร สีลม ก็ต้องมาแถวนี้ ส่วนราคาอาหารก็ประมาณเดียวๆกับบ้านเราเลย ประมาณแอบแพง กลับมาที่โรงแรมต่อ เพราะเป็นโรงแรม 3 ดาว เราเลยต้องถือสัมภาระขึ้นห้องและถือลงมาเช็คเอ๊าท์เอง สภาพห้องโดยรวมใช้ได้เลยล่ะ สบายๆ บ้านๆ ห้องอาบน้ำเป็นแบบใช้ฝักบัว มีชักโครกและจัดว่าสะอาด มีทีวีช่องไทยและก็ยูบีซี มีช่องเอชบีโอด้วย ห้องที่จองไปจองเป็นแบบมีระเบียง แต่ระเบียงจะเดินทะลุได้กับห้องข้างๆด้วย ถ้าออกมาพร้อมกันก็จะมีเพื่อนร่วมระเบียงไปโดยปริยาย แม่บ้านที่นี่ยิ้มเก่งมาก ยิ้มทุกวัน ไม่มีอะไรก็ยิ้ม เพราะเค้าพูดและฟังภาษาไทยไม่ค่อยได้ด้วยแหละ เพราะฉะนั้นเวลามีเรื่องอะไรก็จะโทรไปที่เคาน์เตอร์ซะส่วนใหญ่ สบายใจแล่ะเรื่องที่พัก ถือว่าดีเกินความคาดหวังเลย

จัดนู่นจัดนี่สักพักก็เดินออกมาหน้าโรงแรม..กะว่าจะหารถไปตลาดเช้าเป้าหมายเดิม ปรากฏว่าเดินเลี้ยวขวาไป2-3ห้องก็เจอร้านเช่ามอเตอไซค์พอดี๊เลย โชคดีมาก ตอนหาข้อมูลมาเค้าบอกว่าถ้าจักรยานจะอยู่ราวๆ 40-60 บาทต่อวัน แต่มอเตอไซค์ให้ลองต่อดูจะตกประมาณ 250 บาทต่อวัน ซึ่งเราก็ต่อมาได้ราคานั้นพอดี คือ วันละ 250 บาท (ต่อจาก 280 บาท) เช่าขาด 2 วัน ที่บอกว่าเช่าขาดคือไม่ต้องเอารถมาเก็บที่ร้าน เอามาคืนอีกทีวันสุดท้ายเลย เพราะบอกเค้าไปว่าเราพักที่ New Lao Paris นี่เอง เค้าก็ยอม นี่เป็นอีกหนึ่งข้อดีที่ได้พักที่นี่เลย พี่เจ้าของร้านเช่ารถจะพูดและฟังภาษาไทยได้เลยต่อรองสะดวก จากนั้นก็ต้องทิ้งเอกสารเป็นประกันไว้ด้วย ตามปกติก็ต้องทิ้งพาสปอร์ตไว้ แต่เราขอเค้าทิ้งบัตรประชาชนไทยไว้ดีกว่าเผื่อต้องใช้พาสปอร์ต หลังจากนั้นเค้าก็จะให้เราเลือกหมวกกันกระแทก (หมวกกันน็อค) ตามใจชอบ ถ้าไม่ใส่ก็ถืกตำหลวด (เค้าว่างั้น) หลังจากได้รถมา ก็ออกซิ่งกันเลย ตอนได้รถเรียบร้อยยังแอบนึกในใจเลยว่า เรานี่มันแว๊นจริงๆเล้ย พอได้มอไซค์ก็ดีอกดีใจใหญ่ ประกอบกับที่ลาวจะขับรถพวงมาลัยซ้าย เราก็ขับไปตื่นเต้นไปด้วยความที่ไม่ชินถนน (แต่ก็สนุก)

ที่พักใจ..ในเวียงจันทน์ (เน่ามั้ยล่ะ)

New Lao Paris Hotel

เวร...กรรม

วันก่อนไปทักพี่สาวว่า..
"อาเจ้ๆ..สิวขึ้นที่ปากอ่ะ" (พอพูดเสร็จก็รีบยกมือไหว้ท่วมหัวตัวเอง ประมาณว่าแค่ทักเฉยๆนะ อย่ามาเข้าตัวเล้ย)

...ทุกคนคงเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ใช่มั้ย...แล้วมันเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้นล่ะ..

วันถัดมา..แค่วันเดียวเองนะ..เราก็ได้มีสิวเป็นของเราเองทันที โดยไม่ต้องร้องขอ
ไม่รู้มันเป็นอะไร แล้วก็ไม่รู้ว่าจะเอาทฤษฎีไหนมาอธิบายกับเหตุการณ์นี้ได้ แต่ทุกครั้งที่เราไปทักเพื่อนๆหรือคนอื่นๆว่า "สิวขึ้นเรอะแก" กรรมมันก็ต้องรีบมาเยี่ยมเราทุกครั้งร่ำไป หรือบางทีแค่คิดจะทักในใจ มันก็มาแล้ว

อาเจ้สิวขึ้นที่ปากบน พอเราไปทัก เราเลยได้สิวมาอยู่ที่ปากล่าง..หยั่งงี้ ถ้าไม่เรียกว่า "กรรม..เวร" แล้วจะเรียกว่าอะไรล่ะ...บาปกรรมน่ะมีอยู่จริงๆ อย่าทักอะไรมั่วซั่วเดี๋ยวมันเข้าตัว ไม่เชื่อก็ลองดู

11.8.52

แตะหนองคาย-เหยียบเวียงจันทน์

เส้นทางคร่าวๆของการนั่งรถไฟไปเวียงจันทน์ครั้งนี้ คือ

"จากหัวลำโพง-->แตะหนองคาย-->ผ่านท่านาแล้ง-->เหยียบเวียงจันทน์"

มาถึงหนองคายประมาณ 9โมง45 (มั้ง..ประมาณนี้แหละ) พอมาถึงเราก็ต้องซื้อตั๋วไปท่านาแล้งที่นี่ ซึ่งจะมีรถไฟไปที่นั่นประมาณ2รอบ ประมาณ 10โมงเช้า และ 4โมงเย็น รอบกลับจากท่านาแล้งมาหนองคายก็ประมาณนี้เหมือนกัน ซึ่งคนที่มีพาสปอร์ตก็ซื้อตั๋วได้เลยคนละ20บาท ตอนรอเข้าแถวซื้อตั๋วเนี่ยให้ไปขอบอร์เดอร์พาสจาก จนท.มากรอกรอไว้เลย ให้กรอกทั้งขาเข้าและขาออกทั้ง2แผ่นไว้เลย ส่วนคนที่ไม่มีพาสปอร์ตก็ให้ติดต่อเจ้าหน้าที่รถไฟไปเลยว่าไม่มีพาสปอร์ตจะขอทำบัตรผ่านแดนชั่วคราว (Border pass) เอกสารที่ต้องใช้เดี๋ยวนี้ไม่ต้องยุ่งยากแล้วแค่ บัตรประชาชน อย่างเดียวก็พอ กับเงิน 100 บาทค่าที่เค้าไปดำเนินการให้ ใช้เวลาประมาณ15นาที เสร็จแล้วก็ซื้อตั๋วรถไฟได้เลย

บางคนจะบอกว่ามีพาสปอร์ตจะสะดวกกว่า แต่ส่วนตัวเราว่าบางที บัตรผ่านแดนชั่วคราวสะดวกกว่านะ เวลาขาเข้าก็ไม่ต้องกรอกบอร์เดอร์พาส ขาออกก็ไม่ต้องมาต่อแถวตรวจพาสปอร์ต เอาบัตรผ่านแดนแผ่นที่เหลือหย่อนลงกล่องแล้วก็เดินผ่านไปได้เลย แต่คนที่ใช้บัตรผ่านแดนอาจจะมีค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นเท่านั้นเอง คือ ตอนมาถึงท่านาแล้งคนที่ถือพาสปอร์ตจะเสียค่าผ่านแดนขาเข้าแค่ 10 บาท แต่คนที่ถือบัตรผ่านแดนชั่วคราว จะเสียประมาณ 40 บาท แล้วก็พาสปอร์ตจะอยู่ในลาวได้ 1 เดือน ไปเที่ยวส่วนไหนของลาวก็ได้ แต่บัตรผ่านแดนชั่วคราวจะสามารถพักในเขตเวียงจันทน์ได้เพียง 3 วัน 2 คืนเท่านั้น ถ้าเกินกว่านั้นจะถูกปรับพอสมควรเลยล่ะ

ขอเล่าย้อนนิดนึงว่าตอนที่ถึงหนองคายน่ะ มองออกไปจะเห็นโบกี้รถไฟแบบเก่าที่เค้าเอามารีโนเวททำเป็นห้องสมุดด้านใน สวย คลาสสิกเชียวล่ะ ถ้ามีเวลาก็ลองแวะดูกันได้นะ แต่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีเวลาหรอกเพราะรถไฟมาถึงหนองคายก็เลทแล้ว เกือบจะเหลื่อมล้ำกับเวลารถไฟที่จะออกไปท่านาแล้งพอดี

กลับมาที่ท่านาแล้งแล่ะ..พอมาถึงที่สถานีท่านาแล้งต้องจ่ายค่าเข้าประเทศเค้า ตรงนี้สำหรับคนที่ถือพาสปอร์ตก็ต้องไปเอาใบจาก จนท.มากรอกเหมือนกันแล้วก็ต่อแถวจ่ายค่าธรรมเนียม 10 บาท ส่วนคนที่ถือบัตรผ่านแดนชั่วคราวก็ไปอีกตู้นึง จะเสียค่าธรรมเนียมมากกว่านิดหน่อยแต่จะเร็วกว่าเพราะส่วนใหญ่เค้าจะมีพาสปอร์ตกันแถวก็จะยาวกว่า แต่สรุปแล้วเวลาที่ใช้ทั้งที่ฝั่งหนองคายและท่านาแล้งจะกินเวลาไม่มากเท่าไหร่ประมาณ10นาที แต่ถ้าฝั่งขาเข้าและออกของสะพานมิตรภาพไทย-ลาว (ถ้าอยู่ฝั่งลาวจะเรียก สะพานมิตรภาพลาว-ไทย) จะนานกว่านี้ บางทีอาจกินเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง เพราะที่สะพานมิตรภาพฯจะมีทั้งชาวไทย, ต่างชาติ, และชาวลาว มาทำเรื่องตรงนี้เยอะ แต่ที่ท่านาแล้งส่วนใหญก็มีแค่คนที่ต่อรถไฟจากหนองคายมาเท่านั้น ก็ที่มาจากหัวลำโพงด้วยกัน นอนโบกี้เดียวกันนั่นแหละ

พอจ่ายอะไรทุกอย่างเสร็จ ก็เตรียมสอดส่องหาคนร่วมแชร์รถเข้าไปไหนตัวเมืองเวียงจันทน์ได้เลย ค่ารถจะถูกตั้งไว้สูงมากเริ่มที่500-1,000 แล้วแต่ว่าเป็นรถกระบะหรือรถตู้ ต่อไปต่อมาจะเหลือไม่เท่าไหร่ แล้วตอนที่เราไปก็หารกันกับคนอื่นๆจะเหลือที่ คนละ40บาท คือ ต่อได้เหลือ400บาท ทั้งหมด10คน เป็นรถกระบะนะ (อันนี้ถือว่าคุ้มแล้วเพราะระยะทางไกลพอสมควร และเค้าก็จะไปส่งเราที่โรงแรมของแต่ละคนจนครบ) ก็คือตอนนี้พูดภาษาอะไรได้ก็เลือกเพื่อนร่วมทางตามภาษาที่ถนัดตามสะดวกเราเลย แต่ขอแนะนำให้รีบคุยกะคนไทยก่อนจะได้จบบทสรุปได้รวดเร็วขึ้น เพราะถ้าต่างชาติเค้าอาจจะคิดว่าเราจะหลอกเค้าก็เป็นได้ พอดีเจอมากับตัวเองไง อุตส่าห์งัดวิชาภาษาญี่ปุ่นอันน้อยนิดตัดสินใจชวนพี่ยุ่นที่ต่อแถวข้างหน้าเราให้แชร์ไปด้วยกัน กลับไม่ไว้ใจเราซะนี่คิดว่าเราจะไปหลอกเค้ามั้ง เห็นลังเลนานมากไม่ตอบสักที ซัดภาษาอังกฤษเข้าไปอีกก็ยังเงียบอีก ไปก็ไปทางเดียวกะเรายังมาคิดอะไรชักช้าอีก ระหว่างต่อแถวก็มีมาถามเราอีกว่าเสีย 10 บาทเท่ากันมั้ย (คงกลัวว่า จนท.ลาวจะโกงเค้า) หลังจากนั้นเริ่มรู้ว่าไม่เวิร์คแล่ะ พี่ยุ่นเค้าบอกขอคิดดูก่อน เลยเอาตัวเองก่อนดีกว่าจับกรุ๊ปพี่คนไทยที่มาพร้อมกันซะเลย..จบ ตอนแรกเราก็ยังห่วงพี่ยุ่นอยู่ พยายามชวนให้ไปด้วยกันบอกพี่คนไทยให้รอด้วย ก็บอกพี่ยุ่นไปว่าเค้าคิดราคาเหมาคันละ500 ไปกี่คนก็500 หารกันก็จะจ่ายคนละไม่ถึง100 พี่ๆคนไทยก็ช่วยพูดด้วยก็ยังไม่ตัดสินใจอีก (คนญี่ปุ่นนี่คิดเยอะจริงๆ) เห็นพี่ยุ่นแกวิ่งไปอีกกรุ๊ปนึงก็คิดว่าโล่งแล่ะไม่ต้องรับผิดชอบแล่ะ ไปๆมาๆพี่แกก็วิ่งกลับมาบอกว่าทีคันโน้นจ่ายแค่คนละ60บาทเอง (แกคงไปเซอร์เวย์มา..กลัวโดนหลอก) ทุกคนเลยช่วยกันพูดว่าตอนนี้คันพวกเราหารแล้วตกแค่คนละ40กว่าเอง พี่แกถึงได้ยอมไปกับพวกเรา หลังจากนั้นอยู่บนรถก็ไม่ได้คุยกันอีกเลย..เข็ดแล้ว แต่พี่คนไทยดีมากช่วยแนะนำร้านอาหาร ที่เที่ยว ที่พัก เยอะแยะเลย เสียดายไม่ได้ขอเบอร์เค้ามา ยังไงก็ขอบคุณมากนะคะ..ที่ชวนขึ้นรถมาด้วย

ขึ้นรถไฟครั้งแรก (2)

"ขึ้นรถไฟครั้งแรก"..ตอนที่ 2

...ตื่นมาอีกทีก็ 6 โมงเช้าแล้ว ผู้โดยสารข้างๆที่คุ้นหน้าก็หายไปแล้ว คงลงไปสักพักแล้วมั้ง
ช่วงประมาณ 7 โมง ถามนายตรวจว่าถึงไหนแล้ว เค้าบอกว่าเข้าขอนแก่นแล้วและคาดว่าจะถึงหนองคายราวๆ 9 โมง เนื่องจากเหตุรถไฟเสียเมื่อคืนนี้เลยทำให้รถไฟถึงล่าช้ากว่ากำหนดขนาดนี้

แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีความน่ารักที่เป็นจรรยาบรรณของ จนท.การรถไฟให้รู้มาบ้าง เพราะตอนที่ตื่นมาได้ยิน จนท.เค้าคุยกันถึงเหตุการณ์เมื่อคืนพอดี ว่า ถ้าแอร์ยังไม่ติดละก็ ก็ต้องคืนเงินให้ผู้โดยสารตู้ปรับอากาศทั้งหมดตามจำนวนส่วนต่างของตู้ปรับอากาศกับตู้พัดลมและเปิดกระจกให้ (น่ารักดีนะ มันเป็นจรรยาบรรณของเค้า) จนท. คุยกันว่ารถไฟที่เรานั่งอยู่เนี่ยใช้กระแสไฟฟ้าแบตเตอรี่และบางทีก็ใช้ระบบพลังงานแสงอาทิตย์เข้าช่วย แต่เหตุเกิดตอนกลางคืนใช่มั้ยล่ะ เค้าก็ต้องแก้ปัญหาโดยการแชร์ไฟจากตู้อื่นมา ตอนแรกลองแชร์ไฟจากตู้ชั้น3มา แต่ก็ยังไม่เวิร์ค เลยแชร์ไฟจากตู้ชั้น1แทน ก็เลยแก้ได้ แต่เห็นเค้าคุยกันว่าถ้ายังแชร์ไม่ติดอีกก็ไม่รู้จะทำไงแล้ว...555...แป่ว!!..จะถึงมั้ยเนี่ยเวียงจันทน์ (ขอบอกก่อนว่าอันนี้เป็นประสบการณ์ส่วนตัวนะ ไม่รู้ว่าจริงๆแล้วเค้าแก้กันยังไง บังเอิญตื่นมาได้ยินเค้าคุยกันเฉยๆนะ ก็เป็นเรื่องเล่าขำๆกันไป)

8 โมงแล้ว จนถึงตอนนี้เราก็ยังนั่งเล่นอยู่บนเตียงบนเหมือนเดิม เพราะผู้โดยสารร่วมทางที่นอนอยู่เตียงล่างยังไม่ตื่น (เบิ๊ด..ด..ดด--ตื่นได้แล้ว) เตียงที่เรานอนอยู่ด้านบนจะค่อนข้างแคบกว่าเตียงล่าง ตั๋วเลยจะถูกกว่า ซึ่งส่วนสูงเราก็ประมาณ 164 ซม. ก็ยังสามารถลุกมานั่งขัดสมาธิเล่นเกมPSPได้สบายๆ พร้อมๆกับนั่งเขียนบันทึกนี้ด้วย ความรู้สึกตอนนอนเหมือนนอนอยู่ในแคปซูล เพราะเมื่อปิดม่านแล้วจะมองวิวด้านนอกไม่เห็นไม่เหมือนเตียงล่างเค้า แต่จะมีสายกันเรากลิ้งตก(มั้ง)อยู่2สายเพื่อเพิ่มความมั่นใจให้ผู้โดยสาร ตื่นมาจะได้กลิ่นกาแฟตลบอบอวล เนื่องจากผู้โดยสาร (โดยเฉพาะชาวตปท.)เริ่มสั่งbreakfastมากินกันบ้างแล้ว...หอมดีจัง!! กาแฟยามเช้า---

ขึ้นรถไฟครั้งแรก


ความคิดแรกของคนเรา..มักจะเป็นความคิดที่ดีที่สุด
เพราะฉะนั้น..บทความแรก อันนี้ ย่อมเป็นบทความที่ดีที่สุดของทริปที่ดีที่สุดของเรา...เวียงจันทน์

วันนี้จะไปเวียงจันทน์...

"ขึ้นรถไฟครั้งแรก"...ตอนที่ 1

วันนี้วันศุกร์ ตามปกติแล้ววันศุกร์งานจะเริ่มซาๆแล้ว เพราะใกล้สุดสัปดาห์ แต่ทำไมวันนี้มันยุ่งจังล่ะ เหมือนงานมันจะรู้ว่าวันนี้เราจะไปรีแลกซ์

ทริปนี้เราแอบตื่นเต้นเพราะเราเป็นคนจัดการทริปเองทั้งหมด อยากรู้ว่าผลมันจะเป็นยังไง ประกอบกับนี่เป็นการขึ้นรถไฟครั้งแรกอีกต่างหาก..น่าสนุกมั้ยล่ะ

ออกจากบ้าน 1 ทุ่ม ถึงหัวลำโพง 1 ทุ่ม 20 ขึ้นรถไฟที่ชานชาลาที่ 3 รถไฟไปหนองคายที่อยากแนะนำก็มีเที่ยวเดียว คือรถไฟด่วนปรับอากาศ สาย 69 ชั้น 2 กรุงเทพฯ-หนองคาย รอบ 2 ทุ่มตรง ราคาตั๋วโดยสารรถไฟเตียงบน 688 บาท-เตียงล่าง 758 บาท (หรือใครอยากไปชั้น 1 ก็ได้นะ เตียงบน 1,117 บาท-เตียงล่าง 1,317 ถ้าอยากเหมาห้องก็ 1,817 บาท)

แล้วทริปของเราก็เริ่ม..รถไฟเริ่มออกตอน 2 ทุ่ม 20 กว่าๆ (ตามกำหนดการต้องออก 2 ทุ่มตรง..นี่แหละรถไฟไทย)
สักพักนายตรวจตั๋วก็มา และหลังจากนั้นอีกไม่นาน จนท.ปูเตียงก็มา (อีกนิดเดียว..จะได้เห็นเตียงนอนเราแล้ว) ตั้งแต่เลิกงานก็ยังไม่ได้กินอะไรเลย ขึ้นรถไฟมาหิวมาก โชคดีได้ผัดมาม่าของม่ามี๊มาช่วยไว้ เพราะตอนขอเมนูของตู้เสบียงมาดู ก็แอบนึกในใจ...แอบแพงว่ะ (แพงแบบแอบๆ) ถ้าไปคราวหน้าจะเตรียมซื้อข้าวมาเลยจะได้ไม่ต้องทนหิวแบบครั้งนี้

สังเกตุรอบๆ ผู้โดยสารยังไม่เต็มดีเท่าไหร่ แต่พอผ่านไปหลายๆสถานี จากสามเสน ผ่านจตุจักร เข้ารังสิต ออกปทุมธานี ไม่นานคนก็เต็ม จริงๆแล้วรถไฟไทยก็รับบทหนักเหมือนกันนะ ต้องวิ่งแทบทั่วประเทศ ไม่เหมือนรถทัวร์ที่ยังมีแบบสายตรงจากกรุงเทพฯไปจังหวัดอื่นๆได้เลย อยากให้มีการส่งเสริมการรถไฟไทยให้มากๆหน่อย จะได้มีรถไฟสวยๆ ดีๆให้เราได้นั่งกันตลอด มาถึงตรงนี้พูดยังไม่ทันขาดคำ...รถไฟเสียซะแล้ว เริ่มจากแอร์ในรถไฟดับไปตอนประมาณ 5 ทุ่ม 15 แล้วรถไฟก็ต้องหยุดวิ่งเพื่อให้จนท.ลงไปตรวจดูห้องเครื่อง..เสียตรงไหนไม่เสีย มาเสียกลางป่ากลางเขาซะนี่ (อันนี้แอบได้ยิน จนท.เค้าบ่นมา) จนท. ตรวจสอบความเสียหายไปพร้อมๆกับให้รถไฟวิ่งเหยาะๆ (นึกภาพเอาเองละกันว่ารถไฟวิ่งเหยาะๆเป็นยังไง) ร่วมชั่วโมงเราก็ได้แอร์กลับคืนมา..นึกว่าจะได้นอนร้อนๆซะแล้ว

บนรถไฟพอดึกๆแล้ว เริ่มมองวิวข้างนอกไม่เห็นแล้ว เลยไม่ค่อยมีอะไรให้ทำ ผู้โดยสารคนอื่นๆก็เริ่มทยอยเข้านอนกันหมดแล้ว ตอนก่อนที่รถไฟจะแอร์เสียเราก็ยังไม่ง่วงหรอก แต่พอรถไฟเสียได้สักครึ่งชั่วโมงก็เริ่มเกิดอาการง่วงขึ้นมาทันที จึงปีนขึ้นมานอนบนเตียงด้านบน (เวลาอยู่บนรถไฟจะพยายามไม่กินน้ำเยอะ จะได้ไม่ต้องเข้าห้องน้ำบ่อยๆ)